ขอสินเชื่อธนาคาร ให้ได้วงเงินกู้ที่ต้องการการพิจารณาสินเชื่อในปัจจุบันนี้ สถาบันการเงินจะพิจารณารายละเอียดต่างจากเดิม เมื่อก่อน ทางสถาบันการเงินจะพิจารณาจากรายได้ของผู้ขอวงเงินกู้เป็นหลัก หากรายได้เพียงพอต่อการชำระค่างวดก็สามารถขอวงเงินกู้ได้ตามสัดส่วน แต่หากเป็นหนี้เสีย (Blacklist) ก็ไม่สามารถขอวงเงินได้
ในส่วนของการเป็นหนี้เสียก็จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ เรื่องของการเป็นหนี้เสีย (Blacklist) โดยตัวของผู้ขอวงเงินกู้เอง และส่วนที่สอง คือการเป็นผู้ค้ำประกัน ถ้าหากผู้ผ่อนชำระมีประวัติเป็นเหนี้เสีย หรือ Blacklist ผู้ค้ำประกันก็จะติดหนี้เสีย หรือ Blacklist ไปด้วย ซึ่งในส่วนที่สองนี่ ผมจะพบค่อนข้างบ่อยมาก เนื่องจากผู้ค้ำประกันเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่า ตนเองเป็นหนี้เสีย (Blacklist) แล้ว
ถ้าไม่ติด 2 ข้อนี้ก็สามารถขอสินเชื่อได้ แต่ในบางสถาบันเรื่องของการเช็คเครดิตบูโรยังไม่มีการนำเข้ามาใช้ ผู้ขอวงเงินกู้ก็อาจจะผ่านการพิจารณาได้
แต่ในปัจจุบันนี้ การพิจารณา ขอสินเชื่อธนาคาร ทางสถาบันการเงินจะพิจารณามากกว่า 2 ข้อแรกแล้วครับ อีกทั้งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น นาย ก มีรายได้ 40,000 บาท ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจขอวงเงินสินเชื่อได้ถึง 2,000,000 ล้าน แต่ถ้าตามหลักเกณฑ์ปัจจุบันอาจได้ไม่ถึง 2,000,000 บาท เพราะทางสถาบันจะนำดอกเบี้ยเงินกู้ที่มาคำนวณ โดยจะเผื่ออัตราดอกเบี้ยในการผ่อนอีก 1-2% มาคำนวณค่างวดว่า เป็นอัตราการชำระต่อเดือนเท่าไหร่ และอัตราผ่อนชำระต่อเดือนจะสูงกว่าเมื่อก่อน ทำให้วงเงินสินเชื่อที่จะได้ลดลง และหากผู้กู้มีการผ่อนชำระอย่างอื่นอีก เช่นค่าผ่อนรถ ผ่อนโทรทัศน์ ผ่อนตู้เย็น ทางสถาบันก็จะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายหมด ว่าเหลือรายได้สุทธิเท่าไหร่และนำรายได้สุทธิมาคำนวณเรื่องของวงเงินขอสินเชื่อ
และหากทางผู้กู้มีประวัติการผ่อนชำระไม่ดี หรือที่เรียกว่า ฟันหลอ คือผิดนัดชำระ ทางผู้กู้ก็จะกู้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเคลียร์หนี้สินกับทางสถาบันแล้วก็ตาม เพราะว่าเมื่อเช็คในเครดิตบูโร ประวัติของผู้กู้จะแสดงอยู่ทั้งหมด ทั้งนี้รวมถึงลูกค้าที่มีสวัสดิการในการกู้เงินกับสถาบันด้วย ผมจะยกตัวอย่างสักเรื่องนะครับ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้ว คือลูกค้ามีรายได้ต่อเดือน 40,000 บาท เป็นเงินเดือนสุทธิไม่มีผ่อนชำระใด ๆ มาซื้อทรัพย์สินเป็นทาวน์เฮ้าส์ราคา 1.1 ล้าน ซึ่งถ้าดูจากรายได้ของลูกค้าแล้ว ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อได้แน่นอน เพราะรายได้ขนาดนี้ถึงคิดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด ก็ยังกู้ได้สบาย ๆ แต่เมื่อส่งเรื่องเข้าไปที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ปรากฏว่า เมื่อเช็คเครดิตบูโรแล้ว กลับเจอประวัติการผ่อนชำระไม่ดี ทำให้ทางสถาบันการเงินแห่งนั้นปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อ เมื่อได้สอบถามทางลูกค้าถึงเรื่องนี้ ลูกค้าบอกว่า เป็นหนี้จริง แต่ได้เคลียร์ไปแล้ว เมื่อ 2 เดือนก่อนหน้าที่จะมายื่นกู้ คิดว่า ไม่น่าจะมีผลอะไร แต่จริง ๆ แล้ว หากลูกค้าท่านใดมีประวัติเช่นนี้ จะต้องมีการผ่อนชำระที่เป็นประวัติดีอย่างน้อยอีก 1 ปี ทางสถาบันการเงินถึงจะพิจารณาสินเชื่อให้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ลูกค้าไม่สามารถขอสินเชื่อได้ และต้องสูญเสียเงินมัดจำให้กับผู้ขายอีกด้วย
ผมขอสรุปตอนท้ายอย่างนี้นะครับ การพิจารณาการ ขอสินเชื่อธนาคาร ในปัจจุบันทางสถบันการเงิน จะพิจารณาจากรายได้ และรายจ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การผ่อนชำระรถยนต์ บัตรเครดิต หรือบัตรต่าง ๆ ในการผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือของต่าง ๆ ตลอดจน ประวัติในการผ่อนชำระของคุณ blacklist ทั้งหมด ถึงแม้จะไปเคลียร์หนี้สินกับเจ้าหนี้ แล้ว แต่ประวัติคุณอาจจะยังอยู่ ในเครดิตบูโร ดังนั้น ท่านที่จะเช็คเครดิตเบื้องต้น หรือจะขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ควรตรวจสอบประวัติการเงินของตนเองในเบื้องต้นก่อนนะครับ
ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ
email baansabai@live.com
Tel : 084-771-7227